วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปัญหาขยะล้นห้องเรียนเกิดจากนักศึกษาไทยไม่มีจิตปฏิบัติสาธารณะจริงหรือ

ปัญหาขยะล้นห้องเรียนเกิดจากนักศึกษาไทยไม่มีจิตปฏิบัติสาธารณะจริงหรือ

ปัญหาขยะล้นห้องเรียนเกิดจากอะไร ?
คำถามนี้สามารถตอบได้หลายคำตอบ แต่ประเด็นที่น่าจะเห็นได้ชัดมากที่สุดจากปัญหาคือขยะล้นห้องเรียน ก็มาจากนิสิตนักศึกษา ที่ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง นำอาหาร ขนม น้ำ เข้ามารับประทานให้ห้องเรียน ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ให้นำอาหารเข้ามารับประทานในห้องเรียน แต่ทางสถานศึกษาก็อนุโลมได้เป็นบางครั้งบางคราว ด้วยความที่นักศึกษา ไม่มีจิตปฏิบัติสาธารณะนำอาหารเข้ามารับประทานในห้องเรียน เมื่อรับประทานเสร็จแล้วก็ไม่ยอมเอาออกไปทิ้งถังขยะ กินตรงไหนก็ทิ้งไว้ตรงนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่แค่คนเดียวที่ทำแบบนี้ เมื่อทำแบบนี้หลายๆคนเข้า ก็เกิดขยะจำนวนมาก มีแต่คนทิ้งไม่มีคนเก็บ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยอาจจะมีแม่บ้านคอยทำความสะอาดอยู่ก็จริง แต่ถ้าทุกคนที่มาใช้ห้องเรียนทำแบบนี้ ทิ้งขยะไม่เป็นที่ สถานที่ก็เกิดความสกปรกเหมือนโรงอาหาร ไม่ใช่ห้องเรียน จึงทำให้เกิดปัญหาขยะล้นห้องเรียน ด้วยความที่นักศึกษาบางคนไม่มีจิตสำนึกที่จะนำไปทิ้งถังขยะที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดเอาไว้ให้ ซึ่งก็มีถังขยะหลายแบบ ทั้งถังขยะเปียก ถังขยะแห้ง แต่นักศึกษาก็เลือกที่จะทิ้งเอาไว้ในห้องเรียนให้แม่บ้านเป็นคนมาเก็บทำความสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำเป็นอย่างยิ่ง เมิ่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น และเราก็ทราบถึงสาเหตุของปัญหา เราจึงควรหาวิธีการแก้ไข และวิธีการป้องกัน เราควรที่จะสร้างปลูกจิตสำนึกเป็นอันดับแรก ให้นักศึกษานั้นสร้างวินัยในตนเอง ต้องสร้างให้กับตนเองก่อนถึงจะไปสร้างให้กับคนอื่นได้ การสร้างระเบียบวินัยให้กับตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย เมื่อเราทานเสร็จเราก็เก็บไว้ที่ตัว แล้วเดินนำไปทิ้งที่ถังขยะที่จัดไว้ให้ ทางที่ดีเราไม่ควรนำขนม น้ำ อาหาร เข้ามารับประทานภายในห้องเรียน เพราะห้องเรียนเป็นห้องที่ศึกษาหาความรู้ไม่ใช่โรงอาหาร ควรรู้ว่าตอนไหนทานได้และตอนไหนทานไม่ได้ เมื่อแต่ละคนคิดได้อย่างนี้และสร้างจิตสำนึกให้กับตนเองแล้ว ปัญหาขยะก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง ทานเสร็จแล้วก็นำไปทิ้งถังขยะ การจัดการขยะก็จะทำได้ง่ายขึ้น และมีการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ ห้องเรียนก็จะสะอาดน่าเรียนด้วย

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ความใฝ่ฝันของฉัน


ความใฝ่ฝันของฉัน

คนเราทุกคนเกิดย่อมมี “ความใฝ่ฝัน” ความที่อยากจะเป็นโน่นนั่น ซึ่งความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็จะเป็นตามลักษณะนิสัย บุคลิก และความชื่นชอบของแต่ละบุคคล บางคนมีความถนัดทางวิชาการก็อยากจะเป็นหมอ พยาบาล วิศวะ นักวิชาการ บางคนถนัดทางด้านศิลปะหรือทางด้านการเข้าสังคม การพูดก็มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก นักธุรกิจ การเมือง ผู้ประกาศข่าว นักข่าว ซึ่งก็แตกต่างกันออกไป
สำหรับตัวฉันความใฝ่ฝันของฉันอาจจะดูธรรมดา ฉันฝันอยากจะเป็นคุณครู ฉันฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากสอนหนังสือ อยากถ่ายทอดความรู้ การเป็นครูไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นครูที่เก่งทำได้ไม่ยากแต่การเป็นครูที่ดีและเก่งนั้นทำได้ยาก ในอดีตความสัมพันธ์ของครูประจำชั้นจะเปรียบเสมือนผู้ปกครองคนที่สอง ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ อบรมสั่งสอน ช่วยแก้ปัญหา และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน อันเป็นผลทำให้ครูและโรงเรียนได้รับความศรัทธาพร้อมทั้งมีบุญคุณต่อนักเรียนและครอบครัว แต่ในปัจจุบันค่านิยมได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะครูในปัจจุบันมีหน้าที่แต่สอนอย่างเดียว เมื่อหมดหน้าที่ก็จบไป ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าลูกศิษย์ของตนนั้นจะได้รับความรู้มากน้อยเพียงใด เข้าใจหรือไม่ ครูที่ดีนั้นในความคิดของฉันจะต้องมีจรรยาบรรณในการเป็นครูที่ดี คือจะต้องศรัทธาต่อวิชาชีพ ผู้ที่อยู่ในวงการวิชาชีพครู ต้องมีความรักและศรัทธาต่อวิชาชีพครู เห็นว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ในฐานะที่เป็นอาชีพที่สร้างคนให้มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนที่พึงประสงค์ของสังคม ผู้อยู่ในวิชาชีพจะต้องมั่นใจ ในกาประกอบวิชาชีพนี้ด้วยความรัก และชื่นชมในความสำคัญของวิชาชีพ อีกทั้งจะต้องธำรงและปกป้องวิชาชีพ สมาชิกของสังคมวิชาชีพต้องมีจิตสำนึกในการธำรง ปกป้อง และรักษาเกียรติภูมิของวิชา ไม่ให้ใครมาดูหมิ่นดูแคลน หรือเหยียบย่ำ ทำให้สถานะของวิชาชีพต้องตกต่ำ หรือ มัวหมองการธำรงปกป้องต้องกระทำทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาหรือต้องมีการแก้ไขข่าวหรือประท้วงหากมีข่าวคราวอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อวิชาชีพ
ในความคิดของฉัน ในอนาคตถ้าฉันเป็นครู ฉันจะปฏิบัติตั้งใจถ่ายทอดวิชาการ บทบาทของครูต้องพยายามที่จะทำให้ลูกศิษย์เรียนด้วยความสุข เรียนด้วยความเข้าใจ และเกิดความมานะพยายามที่จะรู้ในศาสตร์นั้น ครูจึงต้องตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะศึกษาวิชาการทั้งทางศาสตร์ที่จะสอน ศาสตร์ที่จะถ่ายทอดหรือวิธีการสอน ครูต้องพยายามที่จะหาวิธีการใหม่ ๆ มาลองทดลองสอน ฉันจะรักและเข้าใจศิษย์ ครูต้องพยายามศึกษาธรรมชาติของวัยรุ่น ว่ามีปัญหามีความไวต่อความรู้สึก (sensitve) และอารมณ์ไม่มั่นคง ครูจึงควรให้อภัย เข้าใจ และหาวิธีการให้ศิษย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ครูต้องพยายามทำให้ลูกศิษย์รักและไว้ใจเพื่อที่จะได้กล้าปรึกษาในสิ่งต่างๆแล้วครูก็จะสามารถช่วยให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในการเรียน และการดำรงชีวิตได้อย่างถูกต้อง ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี ครูมีอิทธิพลต่อศิษย์ทั้งด้านวาจา ความคิด บุคลิกภาพ และความประพฤติ ครูจึงจะต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ซึมซับสิ่งที่ทำจากตัวครูไป เมื่อศิษย์เกิดศรัทธาในความสามารถของครู ศิษย์อาจจะเลียนแบบความประพฤติของครูไปอย่างไม่ได้เจตนา เช่น การตรงต่อเวลา การพูดจาชัดเจน การแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา สุภาพเรียบร้อย ช่วยเหลือศิษย์ผู้เรียนมาอยู่ในสถานศึกษาพร้อมด้วยประสบการณ์และปัญหาที่แตกต่างกันออกไปดังนั้นครูจึงมีหน้าที่ที่จะต้องสังเกตความผิดปกติหรือข้อบกพร่องของศิษย์ และพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ไม่ให้ศิษย์ต้องก้าวถลำลึกลงไปในพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
ความใฝ่ฝันของฉันอาจจะดูเล็กน้อย แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าการได้สร้างคนให้เป็นคนขึ้นมาเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเด็กเป็นอนาคตของประเทศชาติ สอนให้คนมีความรู้ขึ้นมาเพื่อไปใช้ในการพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้ายื่งขึ้น ครูอาจจะเป็นเพียงจุดเล็กๆของสังคม เงินเดือนน้อย แต่อาชีพครู ก็เป็นอาชีพหนึ่งที่หน้าภูมิใจ เพราะถ้าไม่มีครู ก็คงไม่เกิดคนที่มีคุณภาพขึ้นมาอย่างแน่นอน

แหล่งอ้างอิง :
http://www.kroobannok.com/2605 (จรรยาบรรณวิวชาชีพครู)
:
http://th.wikipedia.org/wik (ความหมายของครู)
:
http://dek-d.com/board/view.php?id=1150749 (อาชีพครู)

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

สารสนเทศบนเว็บไซต์











การวิเคราะห์เนื้อหาข้อมูลทางเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยแผนภูมิ


ความรู้ทื่ได้ใน 6 สัปดาห์


การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาข้อความจาก Internet ที่กำหนดให้กับ 9 คำสอนของพ่อ





1. นิทานดังกล่าวข้างต้นควรตั้งชื่อว่าอะไร
- ธรรมะของนายศิษย์
2. นายศิษย์มีลักษณะเป็นคนอย่างไร ชาวบ้านถึงสรรเสริญ
นายศิษย์เป็นบุคคลที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่เกียจคร้าน
นายศิษย์มีความเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากใดๆ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามบางครั้งมันทำให้น่าเบื่อ แต่นายศิษย์ก็สามารถผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้
นายศิษย์มีความพอดีพอประมาณ ไม่โลภมาก อยากได้สิ่งของของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของตน ทำการต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นายศิษย์มีความรู้ตน ทำให้นายศิษย์เป็นคนมีระเบียบ จึงสามารถเล่าเรียนจนครบ 3 ปีได้นายศิษย์เป็นคนที่ไม่อ่อนแอต่อสิ่งใดๆ พร้อมที่จะเสียสละ
นายศิษย์เป็นคนพูดจริง ทำจริง หนักแน่น พูดอย่างไร ก็จะทำให้ได้อย่างนั้น ไม่โกหกมดเท็จ
นายศิษย์เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดคดโกงใคร ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกๆอย่าง
นายศิษย์สามารถเอาชนะใจตนเองได้ สามารถข่มใจไม่ให้ทำสิ่งไม่ดีกับหญิงสาวได้
นายศิษย์เป็นคนขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ทำงานได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นงานหนักหรืองานเบา จน
ในท้ายที่สุดนายศิษย์ก็ได้เป็นเศรษฐีจากลักษณะนิสัยของนายศิษย์ ผู้คนก็พากันสรรเสริญเขาไปจนถึงเมืองไกล

3. นิทานเรื่องนี้สอนอะไร ให้ใช้ตารางเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประมวลพระบรมราโชวาท 9 คำสอนพ่อ
9 คำพ่อสอน
1. ความเพียรการสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
2. ความพอดีในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
3. ความรู้ตนเด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม6. พูดจริง ทำจริงผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
7. หนังสือเป็นออมสินหนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
8. ความซื่อสัตย์ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง
9. การเอาชนะใจตน ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ
จากนิทานเรื่องนี้ ได้สอนทุกอย่างที่เกี่ยวกับ 9 คำพ่อสอน ได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของนายศิษย์ว่าเป็นคนอย่างไร และประพฤติตัวอย่างไร ซึ่งนายศิษย์ได้ใช้หลักธรรม 3 ประการในการดำเนินชีวิตของเขา คือ
1. เดินดีกว่านั่ง
2. นั่งดีกว่านอน
3. ทำงานดีกว่าอยู่เฉยๆ
ซึ่งนายศิษย์ได้ทำตามหลักธรรม 3 ข้อนี้ เราประสบผลสำเร็จในการดำเนินชีวิต และเกี่ยวเนื่องกับ 9 คำพ่อสอนด้วย เขามความเพียรพยายามจนจบเป็นศิษย์จากสำนักทำกรฝึกสอนศิษย์ เขาออกมาดำเนินชีวิตด้วยตนเอง เขามีความพอดี รู้ตน เขาพูดจริงทำจริง เขาไม่แตะต้องตัวของหญิงสาวเลย 7 วันก่อนแต่งงาน เขาเป็นคนขยันทำงาน สามารถเอาชนะใจตนเองและทุกๆคนได้ ภายหลังเขาจึงร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี และที่สำคัญเขาเห็นว่าหนังสือเป็นออมสิน หลักธรรมที่เขาได้จากอาจารย์มา เขานำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของเขาได้ถูกต้องและเป็นอย่างดี
นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า คนเราถ้าทำดีและมีความซื่อสัตย์ขยัน อดทน ไปอยู่ที่ไหนก็สบายกายสบายใจ และผู้คนพากันยกย่องสรรเสริญ

4. ให้นิสิตค้นคว้าแหล่งข้อมูลสารสนเทศเพิ่มเติม อย่างน้อย 3 แหล่งอ้างอิง เพื่อมาสนับสนุนแนวคิดของนายศิษย์
1. "หลักธรรม ๓ เรื่อง ที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมาก"
๑. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรือปฐมเทศนา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดพระปัญจวัคคีย์ (มี ๕ องค์ คือ อัญญาโกณฑัญญะ, วัปปะ, ภัททิยะ, มหานานะ,อัสสชิ) เป็นครั้งแรกจนทำให้ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม อันแสดงว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอาจ อาจมีผู้สามารถรู้ตามได้ ในสูตรนี้พระองค์ทรงแสดงอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ๑ เหตุให้เกิดทุกข์ ๑ การดับทุกข์ ๑ และทางที่จะดำเนินไปสู่ความดับทุกข์ ๑ ซึ่งทางที่จะดำเนินไปสู่ความดับทุกข์นี้ เรียกกันว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง
๒. อนัตตลักขณสูตร ในสูตรนี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งต่าง ๆ คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมตลอดไปได้ทั้งเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริง ๆ เลย เป็นการสมมุติขึ้นมาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถบังคับให้มันอยู่ในอำนาจของเราได้
๓. กาลมสูตร พระสูตรนี้ได้แสดงให้เห็นความเป็นนักเสรีประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงสอนให้คนใช้ความคิดด้วยเหตุผลโดยรอบคอบเสียก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าจงอย่าได้เชื่อโดยการอ้างตำรา หรือเพราะครูอาจารย์สอนไว้อย่างนั้น หรือเพราะคำพูดนั้นตรงกับความเห็นของเรา หรือเพราะผู้นั้นเป็นบุคคลที่ควรเชื่อ หรือโดยการคาดคะเนหรือ นึกเดาเอาหรือโดยการใช้เหตุผลตามหลักตรรกศาสตร์ พระองค์ทรงสอนว่าการกระทำใด ๆ ถ้าจะไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ในภายหลัง นักปราชญ์ไม่ติเตียน ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นแล้ว พึงทำเถิดแต่ถ้าตรงกันข้ามกันก็อย่าทำเลย
ที่มา : http://board.palungjit.com/
2. ธรรมะในการดำเนินชีวิตประจำวัน
1. ฆราวาสธรรม ๔ คือธรรมสำหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไปได้แก่ตค้นคว้าแหล่ง
๑.พูดจริงทำจริงและซื่อตรง (สัจจะ)
๒.ฝึกหัดแก้ไขปรับปรุง (ทมะ)
๓.อดทนตั้งใจและขยัน (ขันติ)
๔.เสียสละ (จาคะ)
2. โอวาทปาติโมกข์ คือข้อธรรมย่ออันเป็นหลักหรือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ๓ ประการได้แก่๑.ไม่ทำความชั่วทั้งปวง
๒.ทำความดีให้ถึงพร้อม
๓.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
3. อิทธิบาท ๔ หรือธรรมที่ช่วยให้สำเร็จในสิ่งที่ประสงค์ได้แก่
๑.ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น (ฉันทะ)
๒.ความเพียรเพื่อประกอบสิ่งนั้น (วิริยะ)
๓.เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ (จิตตะ)
๔.หมั่นตริตรอง พิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น (วิมังสา)
ที่มา : http://www.salatham.com/do-donts/1whatis.htm
3. พระพุทธศาสนาสอนแก้ปัญหาชีวิตและช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่พระพุทธศาสนาสอนแก้ปัญหาชีวิตและช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่? ได้แน่นอนโดยไม่มีข้อสงสัย คนได้รับผลจากการแก้ปัญหาและระงับความทุกข์ด้วยอาศัยหลักธรรมของพระพุทธศาสนามามากต่อมากทั้งในอดีตและปัจจุบัน คนเขาไม่สงสัยกันแล้วในเรื่องนี้ แต่เมื่อสงสัยมาก็ขอชี้แจงว่าพระพุทธศาสนารับรองว่าหลักธรรมในพระพุทธศาสนาสามารถแก้ปัญหาชีวิตและช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้จริง แต่มีข้อแม้ว่า"บุคคลนั้นจะต้องดำเนินตามหลักการและวิธีการทางพระพุทธศาสนานะ"หลักการนั้นท่านได้กำหนดเป็นเรื่องๆไป เช่นถ้าต้องการจะแก้ความเสื่อมในชีวิตก็ต้องเว้นจากการกระทำอันเป็นทางแห่งความเสื่อมเสีย คือ อบายมุข อันได้แก่ ความเป็นนักเลงหญิง นักเลงการพนัน นักเลงดื่มสุรา เที่ยวกลางคืน คบคนไม่ดีเป็นมิตร และเกียจคร้านทำการงานเป็นต้น หากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต การงาน ก็ต้องดำเนินไปตามหลักการที่จะนำคนไปสู่ความสำเร็จในชีวิตการงานก็ต้องดำเนินไปตามหลักการที่จะนำคนไปสู่ความสำเร็จ ๔ ประการ คือ ฉันทะ ปลูกฝังความพอใจไม่ให้เสื่อมคลายในการงานนั้นๆ วิริยะ มีความเพียรพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นโดยไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค จิตตะ เอาใจใส่สนใจในเรื่องนั้นๆไม่วางธุระ วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผลตรวจสอบในเรื่องนั้นๆ
ที่มา:http://www.vicha.kroophra.net/index.php?option=com_content&task=view&id=76

5. ให้นิสิตค้นคว้าบาทความจาก Internet ที่เกี่ยวกับ 9 คำสอนของพ่อ 5 บทความพร้อมแหล่งอ้างอิง
บทความที่ 1
“ คำพ่อสอน ” รางวัลโล่พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ทุนการศึกษา 20,000 บาทนายบารมี เขียววิชัยนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2 ปีการศึกษา 2546 ปัจจุบันศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรพ่อ คือ ผู้ให้กำเนิด ให้การเลี้ยงดูลูก และอบรมสั่งสอนลูกให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม แต่ในปัจจุบันนี้พ่อหลายคนมักคำนึงถึงการเลี้ยงดูลูก ให้เจริญเติบโตและมีความสะดวกสบาย ส่วนการอบรมสั่งสอนลูกมักจะมอบภาระให้ผู้อื่นทำ เช่น โรงเรียนเป็นต้น ซึ่งการกระทำเช่นนี้บางครั้งก็ก่อให้เกิดปัญหา ต่าง ๆ ตามมา ดังที่พบเห็นจากข่าวในหนังสือพิมพ์และสื่ออื่น ๆ ทุกวัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพ่อของปวงชนชาวไทยทุกคน ทรงไม่เคยละเลยหน้าที่พ่อของแผ่นดิน แม้ว่าพระองค์ท่านจะทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ไม่ว่าจะทรงเหน็ดเหนื่อยเพียงใดในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนมีความอยู่ดีมีสุข พระองค์ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสแก่พสกนิกรซึ่งเปรียบเสมือนลูกอยู่เสมอ พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและประเทศชาติอย่างมีคุณธรรมและสามารถปฏิบัติได้ ดังจะเห็นได้จากหนังสือ “ คำพ่อสอน ” ซึ่งรวบรวมพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ผู้ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ล้วนให้แนวคิดที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้อ่านเป็นอย่างยิ่ง แนวคิดแรก ที่ได้จากพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานคือเรื่องของการ จัดการศึกษา พระองค์ทรงเข้าพระทัยธรรมชาติของเด็กเป็นอย่างดียิ่ง โดยตรัสเกี่ยวกับการสอนเด็กเล็กๆ ว่า “ ต้องสอนเรื่องการใช้อวัยวะให้สามารถช่วยเหลือตัวเองและทำงานได้ ” รวมทั้งสอนให้มีเหตุผลซึ่งทำให้เด็กสามารถมองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง รู้ผิด รู้ชอบ เมื่อโตขึ้นก็ต้องสอนให้เด็กเก่งทั้งด้านวิชาการและมี คุณธรรม แนวคิดที่สอง คือ ในด้านวิชาการ พระองค์ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทว่านักเรียนต้องเรียนเพื่อรู้ มิใช่เรียนเพื่อสอบ และต้องตั้งใจเรียนเพราะวัยเด็กสั้น ต้องหมั่นหาความรู้ทั้งในห้องเรียนและการอ่านหนังสืออื่น ๆ นอกจากนั้นต้องรู้วิธีนำความรู้ไปใช้โดยต้องรู้วิชาการในทุกแง่ทุกมุมและสามารถพิจารณาความรู้ด้วยใจเป็นกลางและต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือเมื่อเป็นนักศึกษาเรียนทฤษฎีพอทำงานก็จะได้ประสบการณ์ชีวิตทำให้มีปัญญาสามารถนำความรู้มาใช้อย่างรู้เท่าทันเหตุผล แนวคิดที่สาม คือ การจัดการเรียนการสอน พระองค์ทรงพระราชทานแนวคิดว่าเด็กไม่ควรเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องทำกิจกรรมและเล่นกีฬาด้วย เพราะการให้เด็กทำกิจกรรมก็เพื่อเติมเต็มความเป็นมนุษย์ให้แก่เด็ก ทำให้เด็กมีวินัย รู้แพ้ รู้ชนะ มีความสามัคคีและรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่นอันจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าเด็กที่เก่งแต่ไม่มีคุณธรรมไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ เพราะคนที่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีคุณธรรม มีข้อเสียคือ ไม่รอบคอบเพราะคิดว่าตนเองเก่งจึงรีบร้อน หยิ่งยโสทำให้ทำลายมิตรภาพและความสามัคคีเพราะมองข้ามความสำคัญของผู้อื่น พยายามทำตัวให้เด่นจึงเห็นแก่ตัว และมุ่งหาผลประโยชน์จนทำความชั่ว ซึ่งผลที่ตามมาก็คือทำให้จับเหตุจับผลจับหลักการไม่ถูกและไม่สามารถสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติได้ ดังนั้นต้องสอนให้เก่งและดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต มีความสุภาพอ่อนโยนและมีสติ แนวคิดที่สี่ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานโอวาทว่าบัณฑิตเป็นผู้มีความรู้ มีความสามารถ เป็นความหวังของชาติและมีบทบาทโดยตรงที่จะพัฒนาประเทศ ดังนั้นเมื่อจบการศึกษาเป็นบัณฑิตก็ต้องทำงานอย่างมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ว่าจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตนให้เจริญก้าวหน้า และใช้ความสามารถของตนในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสังคมและประเทศชาติให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีรวมทั้งการร่วมมือกันของบัณฑิตและบุคลากรจากสาขาต่าง ๆ ใช้ความรู้ความสามารถที่สั่งสมมาตั้งแต่เยาว์มาใช้ในการพัฒนาประเทศ แนวคิดที่ห้า คือ เมื่อถึงวัยทำงานบัณฑิตแต่ละคนย่อมอยากสร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ แต่ชีวิตไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ย่อมมีอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาอะไรก็ต้องแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด โดยต้องใช้เหตุผลพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่มีอคติ เพื่อให้แก้ปัญหาอย่างถูกหลักการ อย่างมีเหตุผลและคุณธรรม แนวคิดที่หก เป็นพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการทำงานว่า การทำงานต้องใช้ความสามารถ 2 อย่าง คือการใช้วิชาความรู้และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ในการใช้ความรู้ ต้องศึกษาสภาพความเป็นจริงของงาน คน สังคม และสิ่งแวดล้อม ต้องละความเครียด ใช้วิชาอย่างพอเหมาะไม่ใช่เคร่งทฤษฎีจนเกินไปเนื่องจากบัณฑิตเรียนมาแต่ภาคทฤษฎีซึ่งทฤษฎีส่วนใหญ่ก็เป็นของตะวันตก ดังนั้นการจะนำมาใช้ในประเทศไทยซึ่งมีสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากตะวันตกโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนเลยคงเป็นไปไม่ได้ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทุกคนต้องบริสุทธิ์ใจในการทำงาน ต้องยึดถือความสำเร็จของงานเป็นหลัก ไม่แย่งผลงานกัน ไม่มีอคติต่อผู้อื่น มีความซื่อสัตย์สุจริต ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ว่าจะทำงานให้สำเร็จ รอบคอบ อย่าโกหกกัน รู้จักให้อภัย ไม่ฟุ้งเฟ้อและทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย ในการพัฒนาประเทศแนวความคิดที่ได้จากพระบรมราโชวาท คือ คนไทยทุกคนต้องตระหนักใน บทบาทหน้าที่ในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะมีอาชีพใด ๆ ก็ตาม ดังนั้นต้องหาทางร่วมมือกันคนละไม้คนละมือเพื่อช่วยสร้างชาติและสังคม เป้าหมายในการพัฒนาชาติและสังคมไทย คือการอยู่อย่างพอมีพอกินและมีความสุข ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเอกลักษณ์ของไทยและเป็นสิ่งที่ทั่วโลกอิจฉา ไม่จำเป็นต้องมุ่งที่จะเป็นมหาอำนาจเพราะประเทศต่าง ๆที่หวังเป็นมหาอำนาจต่างชิงดีชิงเด่นจนคนในชาติเดือดร้อนวุ่นวาย อำนาจไม่ได้นำมาซึ่งความสุข แต่ความสงบและการอยู่อย่างพอมีพอกิน เรียบง่าย เป็นความสุขที่แท้จริง ประชาชนชาวไทยทุกคนควรนำแนวคิดที่ได้จากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากหนังสือ “ คำพ่อสอน” มาปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับเด็กเล็กจนถึงระดับอุดมศึกษาควรสร้างหลักสูตรต่าง ๆ ตามแนวพระราชดำริ คือให้เยาวชนเป็นทั้งคนเก่งและคนดี ในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูอาจารย์ควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้านวิชาการให้นักเรียนได้รู้และปฏิบัติได้จริง ควบคู่กับการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร ในการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม ความเสียสละ ความสามัคคีและความ มีระเบียบวินัย ต้องส่งเสริมให้เยาวชนได้เล่นกีฬาและรักการออกกำลังกายอย่างแท้จริง ไม่ใช่เล่นเพื่อเอาคะแนน หรือหวังชื่อเสียงเงินทอง ต้องมีการส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนทุกเพศทุกวัยมีนิสัยรักการอ่านหากทุกคนได้อ่านหนังสือ“ คำพ่อสอน” และนำแนวคิดจากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสต่าง ๆ มาปฏิบัติอย่างจริงจัง ประเทศของเราก็จะมีกำลังคนที่มีคุณภาพในการพัฒนาประเทศในอนาคต และมีคนในวัยทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีคุณธรรม ปัญหาหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเมืองการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาสังคมต่าง ๆ ย่อมจะค่อย ๆ หมดไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้คงจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อของแผ่นดินได้ เช่นเดียวกับลูกที่ดีมีความกตัญญูช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ กระผมเชื่อว่าบุคคลใดก็ตามได้อ่านหนังสือ “ คำพ่อสอน” ซึ่งเป็นการรวบรวมพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่เด็กและเยาวชน ย่อมต้องรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่พระองค์ทรงไม่เคยละเลยในการทำหน้าที่พ่อของแผ่นดิน ตัวกระผมเองเมื่อได้อ่านหนังสือ “ คำพ่อสอน” แล้ว ยังรู้สึกตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง หน้าที่ของนักเรียนที่ต้องศึกษาหาความรู้ ทั้งในและนอกห้องเรียน ต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อหาประสบการณ์ชีวิตในการเติมเต็มความเป็นมนุษย์ ทั้งต้องมีคุณธรรม มีเหตุผล ซื่อสัตย์สุจริต และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กระผมจะสร้างครอบครัวที่ดี ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่โลภ จะร่วมมือกับผู้อื่นในการทำงาน ใช้ความรู้ความสามารถช่วยพัฒนาประเทศและพัฒนาสังคมไทยให้อยู่ดีมีสุขเท่าที่บุคคลคนหนึ่งจะสามารถทำได ตามแนวคิดที่ได้จากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ พ่อของปวงชนชาวไทย”
ที่มา : http://www.satit.su.ac.th/_satit/sms_47_5.htm

บทความที่ 2
9 คำพ่อสอน สำนักข่าวเจ้าพระยาโดย lion4477 วันที่ 6/3/2552หมวด: ข่าว » ข่าวสังคม Tags: คำพ่อสอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1. ความเพียรการ สร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเองพระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ 27 ตุลาคม 25162. ความพอดีใน การสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืนพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540ในหลวง3. ความรู้ตนเด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอนพระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ประจำปี 25214. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้คน เราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 25215. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอใน วงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวมพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496ในหลวง6. พูดจริง ทำจริงผู้ หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวมพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 25407. หนังสือเป็นออมสินหนังสือ เป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 25148. ความซื่อสัตย์ความ ซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคงพระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปีพุทธศักราช 25319. การเอาชนะใจตนใน การดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับพระ ราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 12 ธันวาคม 2513
ที่มา : http://tophit.sanook.com/story.php?id=2941

บทความที่ 3
บทวิเคราะห์ ๙ คำพ่อสอน๙ คำพ่อสอนการที่เราจะมีสุขภาพกายที่ดีได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการที่มีจิตใจที่ดี การมีจิตใจที่ดีได้ต้องเริ่มต้นจากการฝึกฝนอย่างสท่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำจะได้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรงก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตไปในแต่ละวันได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขชีวิตของเราแต่ละคนต้องส่วนประกอบที่สามารถอุ้มชูร่างกายของตนเองได้ อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายของเรามีกำลังที่จะทำงานใดๆ นอกจากอาหารกายแล้วเรายังต้องมีอาหารใจ ถ้าเราไม่มีอาหารใจ ก็จะเป็นคนที่ไม่เจริญ การที่เราจะมีชีวิตอยู่อย่างดีเราต้องดูแล สุขภาพจิตและสุขภาพทางกาย มีความสัมพันธ์ที่จะโยงกันอย่างยิ่ง ถ้าเราอยากมีร่างกายที่แข็งแรง เราต้องมาดูแลร่างกายของเราไม่ใช่ร่างกายเพียงอย่างเดียวเราต้องดูแลจิตใจของเราด้วยเพราะจิตใจต้องทำงานร่วมกับร่างกายเช่นกัน ความรู้นั้นแบ่งเป็น 2 อย่าง ความรู้เกี่ยวข้องกับกายและความรู้เกี่ยวข้องกับใจ การที่เรามีสุขภาพที่ดีเราก็จะมีร่างกายที่ดีและทำให้ชีวิตการเป็นอยู่ของเราดีขึ้น ไม่มีใครที่มีความสุขหรือความสำเร็จโดยไม่เหนื่อยถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ต้องฝึกฝนกำลัง เราทุกคนต้องการหาความสุขหรือความสำเร็จแต่ทุกอย่างต้องเหนื่อย ถ้าไม่อยากเหนื่อยเราก็ต้องฝึกฝนกำลังและจิตใจให้แข็งแรงไปพร้อมกัน เราจึงต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอทุกวัน กีฬาก็เป็นปัจจัยในการบริหารร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงเช่นกันเพราะกีฬามีประโยชน์ในหลายๆด้าน สามารถทำให้เราอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้ กีฬานับเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่สำคัญยิ่งเพราะเป็นการกล่อมเกลาให้เด็กมีจิตใจที่อดทน กล้าหาญ รู้แพ้รู้ชนะ ปลูกฝังพลานามัยให้แข็งแรงเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เด็กเป็นผู้มีสมรรถภาพทั้งในทางจิตใจและร่างกายเป็นผลสืบเนื่องไปถึง การเป็นพลเมืองดีของชาติอันเป็นยอดแห่งความปรารถนาและเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะการเล่นกีฬาเป็นการบำรุงรักษาร่างกายให้แช็งแรง เป็นสิ่งหนึ่งที่กล่อมเกลาจิตใจให้เด็กมีความอดทน กล้าหาญ รู้แพ้รู้ชนะ ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน การเล่นกีฬาทำให้ร่างกายแข็งแรงมีอายุยืนไม่ป่วยบ่อยๆ เมื่อเราพยายามเล่นกีฬาร่างกายและจิตใจก็จะแข็งแรงพร้อมที่จะต่อสู้ในการใช้ชีวิต ยังให้ความสนุกสนานและความสมบูรณ์แก่ร่างกาย ถ้าเรามีจิตใจที่เป็นนักกีฬาเราก็สามารถที่จะให้อภัยผู้อื่นได้ ระงับสติอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ การที่เราจะฝ่าฟันอุปสรรคได้ดี เราควรฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแล้วจะประสบความสำเร็จถ้าเราทุกคนมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็งก็จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในหน้าที่การงานและส่วนตัว มีความสุขใจสุกายและสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตลอดไป
ที่มา : http://siriruk400307.blogspot.com/2009/07/blog-post.html

บทความที่ 4
บทความจากหนังสือพ่อสอนลูก
คำพรfficeffice" />>>- อาตมาภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะทั้ง ๓ ประการ ขอจงดลบันดาลให้พุทธบริษัททุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้วจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาน หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ>>- ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน>>- ขอลาก่อนลูกรัก สำหรับเรื่องเกี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันหน้าโอกาสหน้าถ้ามีโอกาส พ่อนึกอะไรได้ก็จะเล่าให้ลูกฟังต่อไปขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายบรรลุแล้ว ขอบรรดาลูกรักของพ่อทั้งหมดจงเป็นผู้เข้าถึงธรรมนั้นในชาตินี้และโดยฉับพลัน และทุกคนจงมีโอกาสเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติทั่วทุกคน>>- ต่อไปนี้ท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จดจำคำสั่งสอนไว้และปฏิบัติตามจนกว่า>>จะบรรลุผลตามประสงค์>>- ขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงจำเรื่องเปสการีเข้าไว้ และก็เรื่องตอนท้ายต้องการพระนิพพาน คือว่า ต้องตั้งใจตัดอวิชชา ฉันทะกับราคะ มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เลิกต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน ก่อนจะนอนขอบรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คิดว่าชีวิตอาจจะตายวันนี้ก็ได้ ถ้าตายเวลานี้ขอไปนิพพานจุดเดียวเพียงเท่านี้>>- จงทำดี จงทำดี และจงทำดี>>- อาตมาภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน ขอบุญบารมีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วและบรรดาพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ขอจงบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีความเคารพในพระองค์ท่าน จะพึงมีความประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ>>- ขอลาก่อน ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แล้ว ขอทุกท่านที่มีความเคารพในพระองค์ จงบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ>>- สำหรับวันนี้ มองดูเวลาหมดแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความดี สำเร็จมรรคสำเร็จผล จงมีแค่ท่านทุกคนที่มีความปรารถนาดีรักพระพุทธเจ้า>>- ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกทุกคน>>- ขอเหล่าเราบรรดาพุทธบริษัทชายหญิง ความดีจริงที่พระพุทธเจ้าเข้าถึงดีแล้วฉันใด เราเป็นผู้มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มุ่งหวังพระนิพพานเช่นเดียวกัน>>- ในที่สุดนี้ อาตมาภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงดลบันดาลให้ท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพล และพระสาวกบรรลุแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ>>- อาตมาภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงอภิบาลบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลและจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาน หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ>>- ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่รักและลูกหลานทุกคน ขอให้เจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้งหมดทุกประการ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายได้บรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ>>- ขอท่านทั้งหลายจงทรงความดีนี้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม เพราะเกลือที่ทำหรือบรรจุถุงวันนี้จะไปทิ้งในมะขามมันก็เค็ม จะไปทิ้งในน้ำตาลมันก็เค็ม จะไปทิ้งในของขมมันก็เค็ม มันเค็มของมันอยู่เรื่อยฉันใด ขอท่านทั้งหลายจงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เมื่อดีแล้วจงอย่าทะนงในความดี อย่าเหลิงในความดี ความดีจะสลายตัว เพราะอารมณ์ที่เป็นอกุศลมันเข้ามาครอบงำ>>- สำหรับวันนี้ ขอให้ตั้งใจรับพรนะ ขอให้พรคนที่นี่ทั้งหมด คนที่อยู่ที่บ้านทั้งหมด คนที่ยังไม่เกิดทั้งหมดที่มีความเลื่อมใสนพระพุทธศาสนา และถ้าเป็นเครือที่เป็นเผ่าพันธุ์มาแล้วตั้งแต่อดีต ขอให้มีผลตามพุทธประสงค์ทุกท่าน... เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ไม่ห้ามเลยนะ ให้มัน (คาถาเงินล้าน) ติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะคาถาที่พระพุทธเจ้าบอกทุกบท ก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ จึงขอให้ทุกคน ถ้าได้รับคาถาเงินล้านนี้ไป ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า ให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าคาถาทั้งหมดนี้จงปรากฏในจิตของเรา ลาภ ผลต่างๆให้ปรากฏแก่เราตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ นึกถึงท่านนะ>>- ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนบุคคลผู้อ่านทุกท่าน>>
ที่มา : http://board.palungjit.com/

บทความที่ 5
บทความเรื่อง "พ่อสอนลูก"มีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้าน และสั่งให้ทุกคนในบ้าน ช่วยกันดูแล ......เพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่ พันธุ์ ดีนี้และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลมันอย่างดีเป็นเชอรี่ต้นโปรดของคุณพ่อทีเดียว อยู่มาวันหนึ่งขณะที่คุณพ่อออกไปทำงาน ....ลูกชายชื่อจอร์จซึ่งได้ขวานเล็กๆ อันใหม่มา ด้วยความซน ก็ฟันนู่นฟันนี่ แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้า ต้นเชอรี่ค่อยๆ เอนตัวแล้วก็ล้มลงกับพื้น เหลือแต่ตอที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้วเมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้านเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบ ..... จนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ก็ตะโกนเรียก ด้วยเสียงอันดังว่า "จอร์จ มา นี่ซิ "จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อ คุณพ่อได้ถามจอร์จว่า "จอร์จ ลูกรู้ไหมว่าทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้" จอร์จก้มหน้าแต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า ..... "ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง" คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน" …. จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ คุณพ่อก็เข้ามาในห้อง และถามจอร์จว่า.... "ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ" จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง" แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความละอายแล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า "จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ ..... ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่าที่ลูกของพ่อซื่อสัตย์ และกล้าหาญที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดีเต็มสวนก็ไม่มีประโยชน์ อะไร"จอร์จจดจำเรื่องราวเหล่านี้ และใช้ความกล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดมา.... จนกระทั่งในการดำรงฐานะเป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ฟังแล้วประทับใจในวิธีการ สอนของคุณพ่อ ..... แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูกหรือให้ความสำคัญกับสิ่งของแต่คุณพ่อกลับพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน.... ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต ถ้าคุณพ่อทำโทษแรง ๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ ได้…..ในชีวิตมีสักครั้งไหม....ที่เราเกรี้ยวกราดกับสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน..... แทนที่จะใส่ใจกับสิ่งที่ยังอยู่ มากกว่า ...ถ้าคุณยังไม่เคยได้นึกถึง รึว่าอาจลืมไป... ยังไม่สายหรอก....มาเติมเต็มชีวิตกันเถอะ.....
ที่มา : http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538709479&Ntype=128